เชื่อเลยว่าในปี 2025 ผู้บริโภคถูกล้อมด้วยโฆษณานับหมื่นชิ้นต่อวัน ทั้งแบบที่สนใจ และไม่เคยรับตระหนักรู้มาก่อน อาจจะมีส่วนในการสร้างความ “เบื่อ” ทำให้การตลาดแบบดั้งเดิมอาจไม่ทรงพลังเหมือนเช่นเคย ผู้คนเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายและมองข้ามสารที่โฆษณาพยายามจะสื่อ นี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้กลยุทธ์การตลาดที่เรียกว่า Shoppertainment ก้าวขึ้นมาเป็นหัวใจสำคัญของการค้าในยุคดิจิทัล บทความนี้จะพยายามเจาะลึกทุกมิติของ Shoppertainment ตั้งแต่แนวคิดพื้นฐาน กลยุทธ์ที่ใช้ได้จริง กรณีศึกษาที่น่าสนใจ ไปจนถึงอนาคตที่นักการตลาดทุกคนต้องจับตามอง จะมีอะไรกันบ้างไปชมอ่านพร้อมๆกันได้เลย
Shoppertainment คือกลยุทธ์ที่เกิดจากการผสมผสานคำว่า Shopping และ Entertainment เข้าด้วยกัน อย่างมีนัยยะสำคัญ โดยที่หัวใจหลักของแนวคิดนี้คือการเปลี่ยนประสบการณ์การซื้อสินค้าที่เคยเน้นแค่ธุรกรรมให้กลายเป็นกิจกรรมที่สนุกสนาน น่าดึงดูด และสร้างการมีส่วนร่วม แทนที่จะยัดเยียดการขายตรงๆ แบรนด์จะสร้างความบันเทิงให้ลูกค้าก่อน แล้วจึงนำเสนอสินค้าอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ลูกค้ารู้สึกเพลิดเพลินจนลืมไปว่ากำลังถูกขายของอยู่
แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ทั้งหมด รากฐานของมันย้อนไปได้ถึงรายการทีวีช้อปปิ้งในยุค 80s อย่าง QVC ที่ใช้พิธีกรสร้างความบันเทิงไปพร้อมกับการขาย แต่ในยุคดิจิทัล Shoppertainment ได้รับการนิยามใหม่โดยเน้นที่ประสบการณ์ออนไลน์เป็นหลัก โดยมีแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเอเชียอย่าง Lazada และ Taobao Live เป็นผู้บุกเบิกในปี 2016
ความสำคัญของ Shoppertainment เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขามองหาความจริงใจ การเชื่อมต่อทางอารมณ์ และประสบการณ์ที่มีคุณค่ามากกว่าแค่การซื้อสินค้าแบบเดิมๆ
Shoppertainment ไม่ได้มีรูปแบบตายตัว แต่ประกอบด้วยเครื่องมือและเทคโนโลยีหลากหลายที่สามารถนำมาปรับใช้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำ
นี่คือรูปแบบที่ได้รับความนิยมสูงสุด เป็นการถ่ายทอดสดเพื่อนำเสนอสินค้า พูดคุยกับผู้ชมแบบเรียลไทม์ และมอบข้อเสนอพิเศษเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อทันที จุดเด่นคือการสร้างความรู้สึกใกล้ชิด จริงใจ และสร้างบรรยากาศของชุมชนที่ผู้ชมเห็นคนอื่นซื้อและมีส่วนร่วมไปพร้อมกัน
คือคอนเทนต์วิดีโอที่ฝังลิงก์สำหรับซื้อสินค้าไว้โดยตรง ทำให้ผู้ชมสามารถคลิกซื้อสินค้าที่เห็นในวิดีโอได้ทันทีโดยไม่ต้องออกจากหน้าเพจ รูปแบบนี้ช่วยลดขั้นตอนการซื้อขายและเปลี่ยนแรงบันดาลใจให้กลายเป็นการซื้อได้อย่างไร้รอยต่อ ซึ่งผลสำรวจพบว่า 88% ของผู้ใช้ตัดสินใจซื้อหลังจากดูวิดีโอของแบรนด์ แน่นอนว่าปัจจุบัน tiktok น่าจะเป็นเจ้าตลาดในหมวดนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
คือการนำองค์ประกอบของเกม เช่น การสะสมคะแนน การทำภารกิจ หรือการหมุนวงล้อลุ้นรางวัล มาใช้ในประสบการณ์การช้อปปิ้ง กลยุทธ์นี้ช่วยเพิ่มความสนุก กระตุ้นให้ลูกค้ากลับมามีส่วนร่วมซ้ำๆ และสร้างความภักดีต่อแบรนด์ ถ้านึกไม่ออกลองก็อาจจะเหมือนเกมเก็บเหรียญ รดน้ำต้นไม้ในแฟลตฟอร์มที่เราซื้อของกันบ่อยๆนั้นแหละ
การใช้เทคโนโลยี Augmented Reality (AR) และ Virtual Reality (VR) เพื่อให้ลูกค้าได้ “ลอง” สินค้าก่อนซื้อ เช่น การลองเครื่องสำอางเสมือนจริง หรือการจำลองเฟอร์นิเจอร์ในห้องของตัวเองผ่านแอปพลิเคชัน เทคโนโลยีนี้ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ลูกค้าและลดอัตราการคืนสินค้าได้อย่างมีนัยสำคัญ
ทฤษฎีจะสมบูรณ์ได้ต้องมีตัวอย่างที่จับต้องได้ มาดูกันว่าแบรนด์ต่างๆ ระดับโลกนำ Shoppertainment ไปปรับใช้จนประสบความสำเร็จได้อย่างไร
ตลาดประเทศไทยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เน้นความสนุกสนาน ความจริงใจ และพลังของชุมชนเป็นพิเศษ
เพื่อให้นักการตลาดนำ Shoppertainment ไปใช้ในประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด การเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคในท้องถิ่นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
นี่คือหัวใจหลักของตลาดไทย ผู้บริโภคชาวไทยมองว่าการช้อปปิ้งคือการให้รางวัลตัวเองและสร้างความรู้สึกดี ดังนั้นคอนเทนต์ที่สนุกสนานและมีอารมณ์ขันจึงมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนผู้ชมให้เป็นผู้ซื้อได้ดีกว่าการขายแบบแข็งทื่อแบบเดิมๆ
ผู้บริโภคชาวไทยให้ความสำคัญกับคำแนะนำและการยอมรับจากคนรอบข้าง
คอนเทนต์ต้องอยู่ในรูปแบบวิดีโอที่สั้น กระชับ และเข้าใจง่าย แพลตฟอร์มอย่าง TikTok และ Instagram Reels จึงเป็นสมรภูมิหลักที่แบรนด์ต้องเข้าไปสร้างตัวตน
Shoppertainment ไม่ใช่แค่เทรนด์ที่ผ่านมาแล้วผ่านไป แต่คือวิวัฒนาการของการค้าที่แบรนด์ต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดและเติบโต การแข่งขันในวันนี้ไม่ได้วัดกันที่ราคาหรือคุณสมบัติของสินค้าเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่วัดกันที่ความสามารถในการสร้างความบันเทิง การมีส่วนร่วม และการสร้างชุมชนที่แข็งแกร่ง
เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า